วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ภูมิหลัง

         พื้นที่แห่งนี้ เดิมเป็นป่ารกทึบ เนืองแน่นไปด้วยป่าไม้สิงห์สา ลา สัตว์ สัตว์ป่านานาชนิด ตั้งแต่ใหญ่สุด ไม่ว่าจะเป็น ช้างป่า เสือ ระมั่ง มีให้เห็นเป็นประจำ จนถึงเล็กสุดหมูป่า เ้ก้ง อีเห็น กระต่าย และอื่น ๆ อีกมากมาย มีสองผัวเมียคู่หนึ่ง สามีชื่อว่านายสงัด และภรรยาชื่อว่านางชิต  มั่นหมาย หอบลูกน้อยเป็นชายสามหญิงสอง อพยพหนีตายจากโจรในสมัยนั้้นไม่ว่าจะเป็นเสือมเหศวร เสือฝ้าย เสืออ้าย เสือหนอ ที่ออกปล้นสดมภ์อยู่เป็นประจำ โดยอพยพมาจากจังหวัดอ่างทอง หวังว่าจะมาตายเอาดาบหน้า มีชาวบ้านผู้ครอบครองพื้นที่บริเวณนี้ ได้ขายพื้นที่ผืนดังกล่าวให้และ สองผัวเมียภรรยาเล็งเห็นว่าทำเลดังกล่าวมีคลองธรรมชาติไหลผ่าน มีน้ำสอาดตลอดปี พื้นดินเป็นดินดำเหมาะสำหรับทำการเกษตรเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองจึงตกลงปลงใจซื้อที่จากชาวบ้านเพื่อตั้งรกรากทันที จากป่ารก ถากถางจนเป็นพื้นที่โล่งเตียนทำมาหากินได้ ด้วยความขยันและใฝ่รู้ของ คุณพ่อสงัด มีแม่ชิดคอยให้กำลังใจอยู่ข้างกาย พร้อมทั้งมีพัฒนากรหนุ่มที่ชื่อแก้ว นีมะเริง พัฒนากรของตำบลชอนม่วงในขณะนั้น มาทำการส่งเสริมการเลี้ยงโคนมให้แก่ชาวบ้าน เนื่องจากพื้นที่เป็นที่ราบเชิงเขา ดินดี น้ำมีตลอดทั้งปี เหมาะสำหรับการปลูกหญ้าทำเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ จึงตกลงเข้าร่วมโครงการเลี้ยงโคนมของตำบลชอนม่วง การเดินทางเส้นนี้ใช่ว่าจะโรยไว้ด้วยดอกกุหลาบ แต่ท่านทั้งสองต่อสู้อย่างมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ล้มรุกคลุกคลาน หัวเราะบ้าง ร้องไห้บ้าง แต่ก็ด้วยความพยายาม ที่สำคัญกำลังใจที่ได้จากลูกสาวคนเล็กที่ชื่อรัชนีวรรณ  มั่นหมาย ที่คอยให้กำลังใจและฝึกฝนหวังว่าจะเป็นแรงสำคัญของคุณพ่อ คุณแม่ ที่สำคัญเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างพัฒนาชุมชนที่ชื่อนายแก้ว  นีมะเริง พัฒนากรประจำตำบล ในขรธนั้น เข้ามาให้กำลังใจอยู่ตลอดเวลา โดยใช้สุภาษิตจีนที่ว่า มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน เงินทองที่ได้จากการปลูกข้างโพด ถั่ว งา ในแต่ละปี ก็ถูกนำมาใช้ในการเลี้ยงโคนม หยาดเหงื่อทุกหยด แรงกายที่แรง ความมุมานะบากบ่วนตลอดระยะเวลา 35 ปี ก็ได้กำเนิด ฟาร์มโคนมขนาดกลางฟาร์มขึ้น ภายใต้ชื่อฟาร์มว่า "รัชนีวรรณฟาร์ม" มาจนถึงปัจจุบัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น